435 จำนวนผู้เข้าชม |
พังผืดส้นเท้าอักเสบ (Plantar fasciitis) เป็นสาเหตุที่พบได้บ่อยของอาการปวดส้นเท้า พบได้บ่อยขึ้นตามอายุที่มากขึ้น มักพบในคนอ้วน นักกีฬา ผู้ที่ทำงานหนัก หรือสวมใส่รองเท้าไม่เหมาะสม โรคนี้อาจเป็นเรื้อรัง แต่ไม่มีภาวะแทรกซ้อนร้ายแรง
สาเหตุ
พังผืดที่ส้นเท้าทำหน้าที่คล้ายตัวกันกระแทกของกระดูกเท้า ถ้าหากมีแรงกดดันต่อพังผืดนานๆ หรือซ้ำๆ ก็ทำให้เกิดการอักเสบได้ แรงกดดันอาจเกิดจากการมีน้ำหนักถ่วง (เช่น คนอ้วน ยกของหนัก) หรือเกิดจากการวิ่ง เต้นรำ เดินขึ้นบันได หรือยืนนานๆ
นอกจากนี้ อาจมีสาเหตุอื่นๆ เช่น กล้ามเนื้อน่องหรือเอ็นร้อยหวายขาดความยืดหยุ่น โครงสร้างเท้าผิดปกติ (ส้นเท้าแบน หรือมีความโค้งสูง) ใช้รองเท้าที่ไม่เหมาะ (เช่น พื้นรองเท้าบาง ส้นสูง ส้นแข็งขาดความยืดหยุ่น)
โรคนี้ยังพบได้บ่อยในผู้ป่วยเบาหวาน (ซึ่งอธิบายหาสาเหตุไม่ได้) และโรคข้ออักเสบ เช่น โรคปวดข้อรูมาตอยด์
อาการ
มีลักษณะเฉพาะ คือ รู้สึกปวดหลังส้นเท้าคล้ายถูกมีดปักใน 2-3 ก้าวแรกที่ลุกขึ้นเดินหลังตื่นนอนตอนเช้า และหลังจากเดินต่อไป 2-3 นาทีก็จะทุเลาไปเอง บางครั้งอาจรู้สึกปวดเวลาเดินขึ้นบันได ยืนหรือเดินบนปลายเท้า หลังจากยืนนานๆ หรือหลังจากลุกขึ้นยืนจากท่านั่ง
มักจะปวดเพียงข้างเดียว อาการอาจค่อยๆ เกิดขึ้นทีละน้อย หรือเกิดขึ้นฉับพลันรุนแรงก็ได้ โดยผู้ป่วยส่วนใหญ่จะบอกไม่ถูกว่าอะไรเป็นเหตุกระตุ้นให้ปวดเนื่องเพราะอาการมักจะเกิดหลังจากเกิดปัจจัยกระตุ้น (เช่น วิ่งออกกำลังกาย ยืน หรือเดินบนปลายเท้า เปลี่ยนรองเท้าใหม่) 12-36 ชั่วโมงไปแล้ว อาการปวดอาจเป็นเพียงเล็กน้อยน่ารำคาญ หรือ ปวดรุนแรงก็ได้
ส่วนมากจะเป็นอยู่นาน 2-3 เดือน ก็ทุเลาไปเอง บางรายอาจเป็นๆ หายๆ หรือเป็นต่อเนื่องอยู่เรื่อย ๆ ตลอดไป
สิ่งตรวจพบ
อาจพบอาการเจ็บส้นเท้าขณะให้ยืนบนปลายเท้า เวลาใช้นิ้วกดแรงๆ ตรงตำแหน่งจะรู้สึกเจ็บ
การรักษา
1. แนะนำให้ผู้ป่วยหลีกเลี่ยงการเดินเท้าเปล่าและกิจกรรมที่ทำให้โรคกำเริบ (เช่น วิ่ง เดิน หรือยืนนานๆ ยกของหนัก) ลดน้ำหนักตัว ประคบด้วยน้ำแข็ง วันละ 3-4 ครั้งๆ ละ 15-20 นาที บริหารกล้ามเนื้อน่อง เอ็นร้อยหวายและพังผืดส้นเท้า ให้ยาต้านอักเสบที่ไม่ใช้สตีรอยด์ ถ้าได้ผลควรให้ยานาน 6-8 สัปดาห์
2. ถ้าอาการไม่ดีขึ้นใน 2 สัปดาห์ หรือปวดรุนแรงควรแนะนำไปโรงพยาบาลหรือปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญถ้าสงสัยว่าเกิดจากสาเหตุอื่นอาจต้องทำการเอกซเรย์หรือตรวจพิเศษอื่นๆเพิ่มเติม
นอกจากให้การดูแลรักษาดังกล่าวแล้ว แพทย์อาจให้การรักษาอื่นๆ เช่นกายภาพบำบัดการใช้อุปกรณ์แก้ไขภาวะผิดปกติของเท้า (เช่น รองเท้า เทปพันเท้า) การใช้เฝือกใส่เวลาเข้านอนเพื่อยืดกล้ามเนื้อน่อง และพังผืดส้นเท้า
หากไม่ได้ผล อาจต้องใช้สตีรอยด์ ฉีดเข้าพังผืด และส่วนน้อยที่อาจต้องแก้ไขด้วยการผ่าตัด
ข้อแนะนำ
1. อาการปวดส้นเท้าอาจเกิดจากสาเหตุอื่น เช่น กระดูกส้นเท้าแตก (จากการบาดเจ็บ) รากประสาทถูกกดทับ โรคข้ออักเสบเรื้อรังอื่นๆ รวมทั้งกระดูกส้นเท้างอก ดังนั้นถ้ารักษาโรคพังผืดส้นเท้าอักเสบแล้วไม่ดีขึ้น ก็ควรส่งตรวจหาสาเหตุ
2. การเอกซเรย์ส้นเท้าอาจพบกระดูกส้นเท้างอก (heel squr) พบเป็นผลึกหินปูนงอกออกมาจากกระดูก
การป้องกัน
โรคนี้อาจป้องกันได้ด้วยการปฏิบัติตัว ดังนี้
- ลดน้ำหนัก (ถ้าน้ำหนักเกิน)
- อย่าเดินเท้าเปล่าบนพื้นที่แข็ง
- เลือกสวมใส่รองเท้าที่พื้นหนาแต่มีความยืดหยุ่นหลีกเลี่ยงการใส่รองเท้าส้นสูง
- เวลาเล่นกีฬาหรือออกกำลังกาย ควรทำการอบอุ่นร่างกายก่อน และอย่าใส่รองเท้ากีฬาที่เสื่อมสภาพ
- ก่อนลุกจากเตียงหลังตื่นนอน ควรทำการบริหารยืดพังผืดส้นเท้า โดยการจับนิ้วเท้าเหยียดขึ้น
ข้อมูลจาก
นายแพทย์สุรเกียรติ อาชานานุภาพ